งานส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย สำนักงานวิจัยและบริการวิชาการ ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยใช้ชื่องาน "ศูนย์วิจัยฯ พบบุคลากรสายสนับสนุน" สำหรับการจัดประชุมในวันนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "ความก้าวหน้า/การขอตำแหน่งทางวิชาการของสายสนับสนุนฯ" โดยมีนายอัครเดช เกตุฉ่ำ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ณ ห้อง 1103/1-2 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยากาศการพูดคุยกันในวันนี้เป็นไปอย่างสบายๆ และมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยนายอัครเดช เกตุฉ่ำ ได้กล่าวถึงประเด็นเนื้อหาในวันนี้ จะเกี่ยวกับลักษณะผลงานที่ใช้ขอตำแหน่งทางวิชาการ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับคุณวุฒิทางการศึกษาและระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง โดยมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้ ทำอย่างไรจึงจะมีความก้าวหน้าในสายอาชีพของผู้ปฏิบัติงานสายสนับสนุน นายอัครเดช เกตุฉ่ำ กล่าวว่า ต้องเริ่มต้นที่หลักการพัฒนางาน โดยในการทำงานประจำของเรา สิ่งที่มุ่งหวังที่จะให้เกิดก็คือ ทำงานสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่หน่วยงาน และผลงานนั้นจะสะท้อนกลับมาสู่ตัวเอง ต้องมีความเชื่อมั่นว่าโอกาสแห่งความก้าวหน้ามีแน่นอน ต้องทำงานให้เป็นระบบ โดยมีการแก้ไขปัญหา พัฒนา/ปรับปรุง และเก็บข้อมูล/วิธีการต่างๆ ไว้ เพื่อพัฒนางานประจำ/สร้างสรรค์สิ่งใหม่ พร้อมทั้งมีการสะสมผลงาน และพัฒนาให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง รูปแบบความก้าวหน้าในอาชีพของผู้ปฏิบัติงานสายสนับสนุน แบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ ความก้าวหน้าของตำแหน่งทางวิชาการ ได้แก่ ตำแหน่งชำนาญงาน ชำนาญการ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ และความก้าวหน้าของตำแหน่งทางวิชาชีพ โดยผู้ปฏิบัติงานสายสนับสนุนสามารถดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารในตำแหน่งผู้บริหารระดับต้นได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถในการทำงานของแต่ละบุคคล สำหรับเงินประจำตำแหน่งของตำแหน่งประเภทสนับสนุนนั้น ในเบื้องต้นต้องเข้าใจตำแหน่งงานตนเองก่อนว่าเป็นตำแหน่งงานที่อยู่ในระดับใด ได้แก่ · ระดับชำนาญการ แบ่งเป็น กลุ่มวิชาชีพเฉพาะ เดือนละ 11,200 บาท กลุ่มสนับสนุนวิชาการ เดือนละ 7,000 บาท กลุ่มสนับสนุนทั่วไป เดือนละ 5,000 บาท · ระดับผู้เชี่ยวชาญ เดือนละ 19,800 บาท · ระดับผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เดือนละ 26,000 บาท วิธีการเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ วิธีการเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ มี 2 วิธี คือ หน่วยงานเป็นผู้เสนอขอให้ โดยได้รับความยินยอมจากผู้ที่ได้รับการเสนอขอ และผู้ขอเป็นผู้เสนอแต่งตั้ง พร้อมผลงาน และมีวิธีการแต่งตั้ง 2 วิธี คือ วิธีปกติ ได้แก่ ผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่ระเบียบกำหนด และวิธีพิเศษ ได้แก่ ผู้ขอมีคุณสมบัติแตกต่างจากมาตรฐานของตำแหน่ง เช่น ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่ครบ ซึ่งต้องมีคุณสมบัติสูงกว่าปกติ เป็นต้น เกณฑ์ที่ใช้ในการยื่นขอตำแหน่งชำนาญการ เกณฑ์ที่ใช้ในการยื่นขอตำแหน่งชำนาญการ กำหนดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งงานปฏิบัติการตามระยะเวลาจำแนกตามคุณวุฒิ ดังนี้ ระดับต่ำกว่าปริญญาตรี (ปวส., อนุปริญญา) ต้องอยู่ในตำแหน่งชำนาญงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ระดับปริญญาตรี ต้องอยู่ในตำแหน่งมาแล้ว 5 ปี ระดับปริญญาโท ต้องอยู่ในตำแหน่งมาแล้ว 3 ปี ระดับปริญญาเอก ต้องอยู่ในตำแหน่งมาแล้ว 2 ปี ขั้นตอนการขอตำแหน่งทางวิชาการ ขั้นตอนการขอตำแหน่งทางวิชาการ เริ่มจากการกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มการขอตำแหน่งแล้วส่งไปยังมหาวิทยาลัย จากนั้นมหาวิทยาลัยจะประกาศชื่อผู้ขอแต่งตั้ง รายชื่อผลงาน สัดส่วนของผลงานในส่วนที่ตนเองปฏิบัติและรายชื่อผู้ร่วมงาน (ถ้ามี) ทางอินเตอร์เน็ตหรือสื่ออื่นๆ และกำหนดให้มีการทักท้วงได้ภายใน 30 วัน ซึ่งผู้ขอมีหน้าที่ติดตามข้อมูลเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง การประเมินผลงาน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การวิเคราะห์และสรุปผลงานที่ผ่านมา และข้อเสนอแนวคิดเพื่อการพัฒนางานหรือปรับปรุงงานและแผนงาน/โครงการ รวมทั้งผลงานที่จะทำในอนาคตใน 3 ด้าน ดังนี้ 1) ปริมาณงานในหน้าที่ ได้แก่ งานมีลักษณะเป็นอย่างไร รวมถึงความยากง่ายของงาน เป็นต้น 2) คุณภาพผลงานในหน้าที่ ซึ่งดูที่ความสามารถในการแก้ปัญหาทางการปฏิบัติ ความรอบรู้และประสบการณ์การทำงาน งานที่ปฏิบัติได้สำเร็จ ฯลฯ นายอัครเดช เกตุฉ่ำ ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ในการเขียนรายละเอียดของงาน ควรหาตำรา/หนังสือที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดของงานตนเอง เพื่อศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการว่ามีอะไรบ้าง เนื่องจากวิธีพิจารณานั้น ผู้ประเมินจะดูว่างานของเราใช้องค์ความรู้ด้านวิชาการมากน้อยเพียงใด 3) คุณสมบัติต่างๆ ของผู้ขอ เช่น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การตัดสินใจแก้ปัญหา การพัฒนาตนเอง การปฏิบัติตามจรรยาบรรณข้าราชการพลเรือน โดยผลการประเมิน Competency ในทุกๆ องค์ประกอบต้องไม่ต่ำกว่าระดับ 3 ผลงานที่ใช้ยื่นพิจารณาจะต้องเกี่ยวข้องกับภาระงานหลักของเรา จะต้องไม่ใช่ผลงานที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหรือการฝึกอบรม ไม่ใช่ผลงานเดิมที่เคยใช้ในการประเมินแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้นมาแล้ว และต้องระบุการมีส่วนร่วมและมีคำรับรองจากผู้มีส่วนร่วม (กรณีที่เป็นผลงานร่วม) อันได้แก่ คู่มือการปฏิบัติงาน, สิ่งประดิษฐ์, งานวิเคราะห์/สังเคราะห์, ตำรา, เอกสารประกอบการสอน, เอกสารประกอบคำสอน, หนังสือ, งานวิจัย, บทความ ทั้งที่เป็นบทความทางวิชาการและบทความวิจัย, งานแปล จำนวนผลงานที่ใช้ยื่นพิจารณา จำนวนผลงานที่ใช้ยื่นพิจารณา จะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 3 ผลงาน ผลการประเมินอย่างน้อย 2 เรื่องมีคุณภาพในระดับ ดี และต้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการอย่างน้อยร้อยละ 50 นานาข้อคิดเห็น นางสาวพณีพรรณ วงศ์เป็ง ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผลงานที่จะใช้ยื่นว่า ผลงานที่เสนอจำเป็นต้องเป็นผลงานที่เป็น "งานวิจัย" เท่านั้นหรือไม่ ซึ่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพพร ว่องสิริมาศ ได้เสริมว่า ตามระเบียบปี 2552 การขอตำแหน่งชำนาญการ ระบุว่าจะต้องมีจำนวนผลงานอย่างน้อย 3 เรื่อง ผลงานอย่างน้อย 2 เรื่องจะต้องเป็นชื่อแรกของงาน แต่ไม่ได้มีการระบุว่าต้องเป็นผลงานประเภทใด แต่ในระดับเชี่ยวชาญ จะมีการระบุประเภทของผลงานที่จะใช้ขอตำแหน่งว่าต้องเป็นผลงานวิจัยอย่างน้อย 1 เรื่อง นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนี ศุจิจันทรรัตน์ ได้เสนอแนะว่า สำหรับหัวข้อผลงานที่ใช้ยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการนี้ จะได้ให้ผู้มีความรู้มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล/ความรู้ต่อไป รวมถึงได้ขอให้ผู้ทำวิจัยสถาบันกลับไปดำเนินงานเกี่ยวกับงานวิจัยของตนเอง แล้วนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันในการประชุมครั้งต่อไปด้วย บทส่งท้าย สำหรับกิจกรรมศูนย์วิจัยฯ พบบุคลากรสายสนับสนุนในวันนี้ คงทำให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นแนวทาง การขอตำแหน่งทางวิชาการมากยิ่งขึ้น สำหรับครั้งต่อไปผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รับทราบถึงขั้นตอน/วิธีการดำเนินงานวิจัยสถาบัน ในหัวข้อ "การทบทวนวรรณกรรม/การหาหัวข้อวิจัย" ขอให้ติดตามกันในครั้งต่อไปค่ะ
นางสาวชวนันทร์ พรหมโชติ ผู้บันทึก
|
|||
|